top of page
Grey Geometric Business LinkedIn Banner.jpg
thin-line-vat-tax-percent-260nw-1202342152.webp

3. การจัดทำรายงานภาษีซื้อและภาษีขาย

 

การจัดทำรายงานภาษีซื้อและภาษีขายเป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญของทุกธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งต้องทำเป็นประจำทุกเดือนเพื่อนำส่งต่อกรมสรรพากร การจัดทำรายงานที่ถูกต้องและครบถ้วนไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างสมบูรณ์ แต่ยังช่วยให้สามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือเสียภาษีเกินกว่าที่ควร

 

รายงานภาษีขาย (Output VAT)

 

รายงานภาษีขายเป็นการรวบรวมรายละเอียดของการขายสินค้าหรือบริการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน รายงานนี้จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าการขายและจำนวน VAT ที่คุณเรียกเก็บจากลูกค้า ซึ่งจำนวน VAT ที่คุณเก็บได้จากลูกค้านี้จะต้องนำส่งต่อกรมสรรพากรตามอัตราภาษีที่กำหนด (โดยทั่วไปคือ 7% ในประเทศไทย)

 

การจัดทำรายงานภาษีขายอย่างมีประสิทธิภาพ

 

  • เก็บข้อมูลการขายทั้งหมด: ทุกการขายสินค้าหรือบริการที่เกิดขึ้นในเดือนนั้น ๆ จะต้องถูกรวบรวมและบันทึกในรายงานภาษีขาย ควรรวมถึงข้อมูลเช่น ชื่อผู้ซื้อ จำนวนที่ขาย ราคา และ VAT ที่เรียกเก็บ

  • ออกใบกำกับภาษีอย่างถูกต้อง: ทุกครั้งที่มีการขายสินค้าที่มี VAT ควรออกใบกำกับภาษีที่ถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งจะต้องระบุข้อมูลเช่น เลขที่ใบกำกับภาษี วันที่ขาย และจำนวนเงินที่รวม VAT ไว้ด้วย การออกใบกำกับภาษีอย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณสามารถจัดทำรายงานภาษีขายได้โดยไม่ผิดพลาด

 

ตัวอย่างในกรณีของ 'วิกกี้อำพันพม่า'

 

หากบริษัท 'วิกกี้อำพันพม่า' มียอดขายทั้งหมด 500,000 บาท (ไม่รวม VAT) ในเดือนนี้ โดยขายอัญมณีและสินค้าอื่น ๆ ที่มี VAT 7% บริษัทจะต้องเรียกเก็บ VAT จากลูกค้าทั้งหมด 35,000 บาท (500,000 บาท x 7%) ดังนั้น บริษัทจะต้องบันทึกยอดขาย 500,000 บาท และ VAT ที่เรียกเก็บ 35,000 บาทในรายงานภาษีขายของเดือนนั้น

 

รายงานภาษีซื้อ (Input VAT)

 

รายงานภาษีซื้อคือการบันทึกค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ซึ่งมีการชำระ VAT ไปให้กับผู้ขาย การจัดทำรายงานภาษีซื้อจะช่วยให้คุณสามารถหักลบภาษีซื้อจากภาษีขายได้ ทำให้คุณชำระ VAT น้อยลง โดยสามารถนำ VAT ที่จ่ายไปแล้วมาหักลบจาก VAT ที่ต้องจ่าย

การจัดทำรายงานภาษีซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

 

  • บันทึกการซื้อสินค้าหรือบริการ: ทุกครั้งที่คุณซื้อสินค้าหรือบริการที่มีการชำระ VAT คุณควรบันทึกรายละเอียดของการซื้อ เช่น ชื่อผู้ขาย มูลค่าของสินค้า และจำนวน VAT ที่ชำระ

  • เก็บใบกำกับภาษีซื้อ: การเก็บใบกำกับภาษีซื้อที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการขอคืนภาษี ควรเก็บใบกำกับภาษีทุกใบที่ได้รับจากผู้ขายและตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอกสารถูกต้องครบถ้วน รวมถึงการระบุ VAT ที่จ่ายไป

 

กรณีของบริษัท 'วิกกี้อำพันพม่า'

 

เนื่องจาก 'วิกกี้อำพันพม่า' นำเข้าอัญมณีจากพม่า ซึ่งในขั้นตอนการนำเข้านั้นไม่มีการเรียกเก็บ VAT บริษัทจะไม่มีภาษีซื้อที่จะนำมาหักลบกับภาษีขาย ดังนั้น ในกรณีนี้ บริษัทจะต้องชำระ VAT ทั้งหมดที่เรียกเก็บจากลูกค้าโดยไม่มีการหักลดใด ๆ เช่น หากมียอดขาย 500,000 บาท บริษัทจะต้องชำระ VAT 35,000 บาทในเดือนนั้นเต็มจำนวน

 

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บริษัทมีการซื้อสินค้าหรือบริการที่มี VAT ภายในประเทศ เช่น การซื้อวัสดุสำนักงาน การจ้างงานบริการที่มีการคิด VAT บริษัทสามารถนำ VAT ที่ชำระไปเหล่านั้นมาหักลบจากภาษีขายได้ ทำให้จำนวน VAT ที่ต้องชำระลดลง

 

ตัวอย่างที่ขยายความ

 

หากในเดือนถัดมา บริษัท 'วิกกี้อำพันพม่า' ซื้อวัสดุสำนักงานในราคา 100,000 บาท ซึ่งมี VAT อยู่ที่ 7,000 บาท (100,000 บาท x 7%) บริษัทสามารถใช้ 7,000 บาทนี้มาหักลบกับ VAT ที่ต้องจ่ายจากยอดขาย เช่น หากยอดขายในเดือนนั้นคือ 500,000 บาท ซึ่งทำให้ต้องเสีย VAT 35,000 บาท แต่เนื่องจากบริษัทมีภาษีซื้อจากการซื้อวัสดุสำนักงานที่สามารถหักลบได้ 7,000 บาท ดังนั้น บริษัทจะต้องชำระ VAT เพียง 28,000 บาท (35,000 - 7,000 บาท)

 

ความสำคัญของการจัดทำรายงานภาษีอย่างถูกต้อง

 

การจัดทำรายงานภาษีซื้อและภาษีขายอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการปฏิบัติตามกฎหมายภาษี และช่วยให้ธุรกิจไม่ต้องเสียภาษีเกินความจำเป็น การทำผิดพลาดในการบันทึกข้อมูลอาจทำให้เกิดปัญหาในการตรวจสอบจากกรมสรรพากร และอาจนำไปสู่ค่าปรับหรือการตรวจสอบทางบัญชีที่เพิ่มความยุ่งยากในการดำเนินธุรกิจ

 

เพื่อให้การจัดทำรายงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำให้ใช้ซอฟต์แวร์การจัดการบัญชีที่สามารถจัดทำรายงานภาษีซื้อและภาษีขายได้อัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล

[Previous]     [BACK]     [Next]

bottom of page