7. เคล็ดลับในการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
การจัดการ VAT ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะสำหรับบริษัทที่มีการขายสินค้าและบริการในปริมาณมาก เช่น 'วิกกี้อำพันพม่า' การจัดการ VAT อย่างถูกต้องไม่เพียงแค่ช่วยลดภาระภาษี แต่ยังช่วยให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างราบรื่น ป้องกันปัญหาภายหลังเมื่อต้องตรวจสอบหรือยื่นภาษี รวมถึงยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้น เรามีเคล็ดลับในการจัดการ VAT อย่างมีประสิทธิภาพที่คุณสามารถปฏิบัติตามได้ดังนี้:
7.1 เพิ่มการหักภาษีซื้อ (Input VAT) เพื่อประหยัดภาษี
การหักภาษีซื้อเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดภาระภาษีขาย (Output VAT) ที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน โดยคุณสามารถขอคืน VAT ที่ชำระไปเมื่อซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ สำหรับใช้ในธุรกิจ ดังนั้น:
-
เก็บใบกำกับภาษีซื้อให้ครบถ้วน: ทุกครั้งที่มีการซื้อสินค้า หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ควรขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ (ภาษีซื้อ) จากผู้ขาย และจัดเก็บเอกสารให้ครบถ้วน ซึ่งใบกำกับภาษีนี้สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานในการหัก VAT จากภาษีขายที่ต้องชำระในแต่ละเดือน
-
ตัวอย่าง: หากบริษัท 'วิกกี้อำพันพม่า' ซื้อวัสดุอุปกรณ์สำหรับทำสร้อยอำพัน เช่น เชือกหรืออุปกรณ์ประกอบในราคา 100,000 บาท ซึ่งมี VAT อยู่ที่ 7,000 บาท (7% ของ 100,000 บาท) คุณสามารถใช้ 7,000 บาทนี้มาหักลบจากภาษีขายที่คุณเรียกเก็บจากลูกค้าในเดือนนั้น
-
-
เลือกผู้ขายสินค้าหรือบริการที่อยู่ในระบบ VAT: เมื่อซื้อสินค้าหรือบริการสำหรับธุรกิจ ควรเลือกซื้อจากผู้ที่มีการจดทะเบียน VAT อย่างถูกต้อง เนื่องจากคุณสามารถใช้ VAT ที่จ่ายไปเป็นภาษีซื้อได้ ตัวอย่างเช่น การจ้างทำการตลาดหรือจัดซื้ออุปกรณ์สำนักงานจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียน VAT
7.2 ควบคุมการออกใบกำกับภาษีขาย (Output VAT)
การออกใบกำกับภาษีที่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรจัดทำใบกำกับภาษีในทุกๆ การขายที่มี VAT รวมอยู่ และต้องแน่ใจว่าได้รวม VAT ในราคาที่เสนอให้ลูกค้าเสมอ:
-
ออกใบกำกับภาษีทันทีเมื่อมีการขาย: ไม่ควรรอหรือสะสมการออกใบกำกับภาษี ควรออกใบกำกับภาษีทุกครั้งที่มีการขายสินค้า โดยให้แน่ใจว่าระบุรายละเอียดที่ถูกต้อง เช่น ชื่อ-ที่อยู่ของบริษัท เลขประจำตัวผู้เสียภาษี หมายเลขใบกำกับภาษี และรายละเอียดของสินค้า พร้อมระบุ VAT แยกจากราคาสินค้า
-
ตัวอย่าง: หากลูกค้าสั่งซื้อสร้อยคออำพันในราคา 150,000 บาท ใบกำกับภาษีต้องระบุชัดเจนว่า:
-
มูลค่าสินค้า: 150,000 บาท
-
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (7%): 10,500 บาท
-
ราคารวมที่ลูกค้าต้องชำระ: 160,500 บาท
-
-
-
ใช้ซอฟต์แวร์การบัญชีช่วยในการจัดทำใบกำกับภาษี: เพื่อช่วยลดความผิดพลาดและความล่าช้าในการออกใบกำกับภาษี ควรใช้ซอฟต์แวร์บัญชีในการออกใบกำกับภาษี ซึ่งซอฟต์แวร์เหล่านี้จะช่วยคำนวณ VAT ให้ถูกต้อง และจัดเก็บข้อมูลเป็นระบบ ซึ่งสามารถเรียกดูและส่งรายงานไปยังฝ่ายบัญชีหรือกรมสรรพากรได้ง่ายขึ้น
7.3 บริหารจัดการภาษีขายและภาษีซื้อให้สมดุล
การบริหารจัดการภาษีซื้อและภาษีขายในแต่ละเดือนเป็นสิ่งที่สำคัญ หากธุรกิจสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณจะสามารถลดภาระการจ่ายภาษีได้ โดยมีเคล็ดลับดังนี้:
-
วางแผนการซื้อสินค้าในช่วงที่มีการขายสูง: ในเดือนที่คาดว่ามียอดขายสูงและภาษีขายที่ต้องชำระมาก คุณอาจวางแผนการซื้อสินค้าหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นในช่วงเดียวกัน เพื่อเพิ่มจำนวนภาษีซื้อที่สามารถนำมาหักลบกับภาษีขายได้มากที่สุด
-
จัดทำรายงานภาษีซื้อและภาษีขายรายเดือน: การจัดทำรายงานภาษีซื้อและภาษีขายในแต่ละเดือนจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของยอดขายและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ VAT ทำให้คุณสามารถปรับปรุงแผนการจัดการภาษีได้ทันเวลา
-
ตัวอย่าง: หากในเดือนนี้มีการขายสินค้าเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่มีการซื้อสินค้าใด ๆ คุณอาจชำระ VAT ในเดือนนี้เต็มจำนวน แต่ในเดือนถัดไป คุณอาจพิจารณาการซื้อสินค้าเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มภาษีซื้อ
-
7.4 ใช้เครดิตภาษี (Tax Credit) เพื่อประหยัด VAT
การใช้เครดิตภาษีเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้คุณไม่ต้องชำระ VAT เกินจากที่จำเป็น หากในบางเดือนคุณมีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย คุณสามารถใช้เครดิตภาษีที่เกิดขึ้นในการหักลดภาษีที่ต้องชำระในเดือนถัดไปได้:
-
กรณีที่มีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย: หากในบางเดือนธุรกิจของคุณมีการซื้อสินค้าและจ่าย VAT มากกว่าภาษีขาย คุณสามารถขอเครดิตภาษีเพื่อใช้หักลดภาษีในเดือนถัดไปได้ โดยไม่ต้องชำระ VAT เพิ่มเติมในเดือนนั้น
-
ตัวอย่าง: หากคุณจ่าย VAT ในการซื้อสินค้า 50,000 บาท แต่ภาษีขายที่เรียกเก็บจากลูกค้าในเดือนนั้นมีเพียง 30,000 บาท คุณจะเหลือเครดิตภาษี 20,000 บาท ซึ่งสามารถนำไปหักลด VAT ในเดือนถัดไป
-
7.5 วางแผนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
สำหรับธุรกิจที่มีการขยายกิจการ หรือการเติบโตในอนาคต คุณควรมีการวางแผนด้านภาษีอย่างรอบคอบ เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจอาจส่งผลต่อการจัดการ VAT และภาษีอื่น ๆ:
-
ประเมินผลกระทบของ VAT ต่อการเติบโตของธุรกิจ: หากคุณมีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ หรือนำเข้าสินค้าเพิ่มเติม ควรศึกษาภาษีที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีนำเข้า หรือการจัดการ VAT ระหว่างประเทศ เพื่อให้คุณสามารถปรับกลยุทธ์การจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
ใช้ที่ปรึกษาด้านภาษีและบัญชี: สำหรับธุรกิจที่มีการเติบโตและขยายกิจการ ควรใช้บริการที่ปรึกษาด้านภาษีหรือผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชี เพื่อช่วยให้คุณสามารถจัดการภาษีได้อย่างถูกต้องและประหยัดมากที่สุด
7.6 เก็บเอกสารและหลักฐานการทำธุรกรรมอย่างเป็นระบบ
การเก็บรักษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางธุรกิจและภาษีเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเป็นระบบ และระมัดระวัง เนื่องจากเอกสารเหล่านี้อาจถูกตรวจสอบได้ในอนาคต:
-
จัดเรียงใบกำกับภาษีขายและใบกำกับภาษีซื้ออย่างชัดเจน: ควรแยกเก็บใบกำกับภาษีขายและภาษีซื้อไว้ในแฟ้มที่เรียงตามลำดับวันที่ และหมายเลขใบกำกับภาษี เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ
-
ใช้ระบบจัดเก็บเอกสารดิจิทัล: การเก็บเอกสารในรูปแบบดิจิทัลจะช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญหายของเอกสารและช่วยให้สามารถค้นหาได้ง่ายในกรณีที่ต้องการตรวจสอบย้อนหลัง
-
ตัวอย่าง: คุณสามารถใช้ซอฟต์แวร์จัดการเอกสาร เช่น Google Drive หรือระบบจัดการบัญชีแบบออนไลน์ในการเก็บรักษาเอกสาร
-